Home > สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ > เปรียบเทียบ MacBook Air M2 vs iPad Pro M1 เลือกรุ่นไหนดี?

เปรียบเทียบ MacBook Air M2 vs iPad Pro M1 เลือกรุ่นไหนดี?

ทดสอบแล้ว iPad Mini 4 เร็วและแรงกว่า iPhone 6! พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลให้ไหลลื่นยิ่งกว่าเดิม ::

เหล่าผู้ใช้คงทราบกันดีว่าเวลา Apple เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ มักจะเลี่ยงการพูดถึงคุณสมบัติตัวเครื่องแบบชัดเจน แต่จะหันไปใช้การอธิบายเชิงเปรียบเทียบเป็นค่าตัวเลขว่าเร็วกว่าเดิมเท่าไหร่ หรือมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นกี่เปอร์เซนต์ เช่นเดียวกับ iPad Mini 4 ที่ Apple นำเสนอแค่เพียงว่าใช้ชิปเซ็ต Dual-Core Apple A8 แต่ในรายละเอียดส่วนอื่นๆ ก็ยังคงเป็นข้อสงสัยที่ค้างคาใจผู้ใช้ทุกคน ล่าสุดมีการเผยผลการทดสอบตัวเครื่องออกมาแล้ว

ผลคะแนนดังกล่าวมาจากการทดสอบ iPad Mini 4 ด้วย GeekBench3 ซึ่งยืนยันได้แน่นอนว่า iPad Mini 4 ใช้หน่วยประมวลผลชิปเซ็ต Apple A8 ความเร็วในการประมวลผล 1.5GHz และมาพร้อมกับหน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 2GB ซึ่งถือว่าเร็ว และแรงกว่า iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ที่ใช้ชิปเซ็ต Apple A8 แต่มีความเร็วในการประมวลผลอยู่ที่ 1.4GHz และเร็วกว่า iPad Mini 2 และ iPad Mini 3 ที่ใช้ชิปเซ็ต Apple A7 ความเร็ว 1.3GHz

จากตารางข้างต้นเห็นได้ว่า iPad Mini 4 จะเป็นรองเพียง iPad Air 2 เท่านั้น เพราะ iPad Air 2 ใช้หน่วยประมวลผลแบบ Tri-Core A8X 1.5GHz ซึ่งมีแกนประมวลผลมากกว่า ส่งผลให้ iPad Air 2 เร็วกว่า iPad Mini 4 ประมาณ 50% แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่ขีดความสามารถของ iPad Mini 4 ที่เพิ่มสูงขึ้นจาก iPad Mini 2 และ Mini 3 อยู่ประมาณ 20% อันเนื่องมาจากหน่วยความจำแรมที่มีขนาดเพิ่มขึ้น ซึ่งช่วยในการใช้งาน Multitask, การประมวลผลเมื่อเปิดแท็บในเบราว์เซอร์ Safari ดีขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพการสับเปลี่ยนแอปพลิเคชันไปมาให้ดียิ่งขึ้น

ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ของ Apple ที่เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2012 มักใช้หน่วยความจำแรม (RAM) เพียง 1GB เท่านั้น แต่ในปีนี้ Apple ได้พัฒนาตนเองไปอีกระดับ เพราะ iPhone 6s และ iPhone 6s Plus ก็มาพร้อมแรมขนาด 2GB, Apple TV รุ่นใหม่ก็ใช้แรมขนาด 2GB และแท็บเล็ตจอยักษ์อย่าง iPad Pro มาพร้อมหน่วยความจำแรมมากถึง 4GB ซึ่งทั้งหมดนี้น่าจะการันตีประสิทธิภาพการทำงานของอุปกรณ์ iOS ทั้งหมดได้อย่างแน่นอน

ให้คลิปตัดสิน! ทดสอบประสิทธิภาพในการใช้งาน iPhone 6 และ iPad mini 2 หลังอัปเดตเป็น iOS 12 เร็วขึ้นจริงหรือไม่ ? :: .com

สำหรับ iOS 12 ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมา ที่ทาง Apple ได้เผยว่า iOS 12 จะเน้นเรื่องการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบเป็นหลัก ซึ่งจะประมวลผลได้เร็วขึ้นแม้ว่าจะเป็นอุปกรณ์รุ่นเก่าก็ตามนั้น ล่าสุด ทางเว็บไซต์ appleinsider ได้ลองทดสอบกับ iPhone 6 และ iPad mini 2 ว่า หลังอัปเดตเป็น iOS 12 beta 1 แล้ว ประสิทธิภาพเร็วขึ้นจริงหรือไม่

ก่อนหน้านั้น ได้เคยมีการทดสอบ iOS 12 กับ iPhone 5S มาแล้ว พบว่า ประสิทธิภาพในการประมวลผลเร็วขึ้นกว่าเดิมเร็วน้อย คราวนี้มาทดสอบกับ iPad mini 2 กันบ้าง โดยเป็นรุ่นที่ใช้ชิปเซ็ต Apple A7 ซึ่งเป็นตัวเดียวกับบน iPhone 5S นั่นเอง และจากการทดสอบในเบื้องต้น พบว่า iPad mini 2 บน iOS 12 นั้น รีบูตได้เร็วกว่า iOS 11.4 ประมาณ 2 วินาที รวมถึงหน้าจอ Home Screen มีการตอบสนองได้ลื่นไหลกว่า

และเมื่อทดสอบ Benchmark ด้วยโปรแกรม Geekbench 4 พบว่า iPad mini 2 บน iOS 12 ทำได้ 1,293 คะแนน และ 2,203 คะแนน ส่วนบน iOS 11.4 ทำได้ 1,295 คะแนน และ 2,179 คะแนน (สำหรับการทดสอบแบบ Single-Core และ Multi-Core ตามลำดับ)

ด้านการทดสอบเกมนั้น พบว่า iOS 12 ช่วยทำให้เปิดเกมได้เร็วขึ้นเมื่อเทียบกับ iOS 11.4 อย่างเช่นเกม Angry Birds บน iOS 12 ใช้เวลา 19 วินาที ส่วนบน iOS 11.4 ใช้เวลา 31 วินาที แต่สำหรับเกม Pokemon Go และ Asphalt 8 ใช้เวลาเท่ากันที่ 39 วินาที กับ 32 วินาทีตามลำดับ

สำหรับ iPhone 6 นั้น มาพร้อมกับชิปเซ็ต Apple A8 ซึ่งจากการทดสอบบู๊ตเครื่อง พบว่า บน iOS 12 ใช้เวลานานกว่าเล็กน้อยที่ 29 วินาที ส่วนบน iOS 11.4 ใช้เวลา 23 วินาที แต่การเปิดแอปฯ กล้องนั้น บน iOS 12 เร็วกว่า

เมื่อทดสอบ Geekbench 4 ทดสอบ CPU พบว่า iPhone 6 บน iOS 12 ทำได้ 1,545 คะแนน และ 2,722 คะแนน ส่วนบน iOS 11.4 ทำได้ 1,560 คะแนน และ 2,686 คะแนน และเมื่อทำการทดสอบ GPU พบว่า iOS 12 ทำได้ 4,248 คะแนน ส่วนบน iOS 11.4 ทำได้ 4,213 คะแนน

ชมการทดสอบเปรียบเทียบ iPad mini 2 และ iPhone 6 บน iOS 12 beta 1 เปรียบเทียบกับ iOS 11.4 ได้จากคลิปวิดีโอท้ายข่าว

เปรียบเทียบ MacBook Air M2 vs iPad Pro M1 เลือกรุ่นไหนดี?

ทีมงาน 9to5Mac ซึ่งปกติจะใช้ทั้ง MacBook Air และ iPad Pro ทำงานอยู่เป็นประจำ ทั้งงานสร้างสรรค์สำหรับ YouTube งานที่ต้องใช้แอปของ Microsoft ไปจนถึงงานที่ต้องใช้ซอฟต์แวร์ CRM แบบกำหนดเอง โดยกล่าวว่าส่วนใหญ่สามารถทำได้บน iPad Pro แต่ก็ยังมีความจำเป็นที่ต้องใช้ MacBook Air เพื่อทำงานที่เหลืออีกประมาณ 5% แต่สำหรับคนที่ต้องเลืออกใช้อุปกรณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง 9to5Mac จะมาแนะนำว่าอะไรที่เหมาะที่สุด

ถึงแม้ iPad Pro M1 จะมีราคาเริ่มต้นถูกกว่า แต่ถ้าพิจารณาจากความจำ RAM 8GB และความจุในตัว 256GB จะพบว่าทั้งคู่มีราคาเท่ากัน อย่างไรก็ตาม ถ้าหากต้องการซื้อ iPad Pro มาทำงานจริงจัง จะต้องจ่ายเงินเพิ่มเติมเพื่อซื้อคีย์บอร์ดและเมาส์ ขณะที่ MacBook Air พร้อมทำงานทันที

iPad Pro M1 ยังมีตัวเลือกที่ต้องจ่ายแพงขึ้น ซึ่งหมายถึงรุ่น 12.9 นิ้ว ที่เหนือกว่ารุ่น 11 นิ้ว ที่จอแสดงผล Liquid Retina XDR ซึ่งมาพร้อมแบ็คไลท์แบบ Mini‑LED ที่ให้ความสว่างมากกว่า สู้แสงแดดได้ดีกว่า นอกจากนี้ iPad Pro ยังรองรับเทคโนโลยี ProMotion ให้อัตราการรีเฟรชหน้าจอ 120Hz

MacBook Air M2 มาพร้อมจอแสดงผล Liquid Retina ที่มีแบ็คไลท์แบบ LED ขนาด 13.6 นิ้ว ถึงแม้จะเป็นจอแสดงผลที่ยอดเยี่ยม แต่ให้อัตราการรีเฟรช 60Hz และความสว่างสูงสุด 500 นิต ทำให้จอแสดงผลของ iPad Pro ได้เปรียบกว่า

iPad Pro ยังชนะ MacBook Air อย่างชัดเจนในเรื่องของกล้อง ถึงแม้จุดประสงค์ของผู้ใช้งาน MacBook ส่วนใหญ่ จะไม่ได้ต้องการกล้องหลัง แต่นั่นก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะบอกว่าในแผนกกล้อง iPad Pro นั้นเหนือกว่าทั้งการถ่ายภาพและวิดีโอ

กล้องหน้าของ MacBook Air M2 ได้รับการปรับปรุงขึ้นอย่างมากด้วยกล้อง FaceTime HD 1080p แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับกล้องหน้าจอง iPad Pro ที่รองรับฟีเจอร์ Center Stage ตัวช่วยจัดตำแหน่งผู้ใช้งานระหว่างวิดีโอคอล

กล้องหน้าของ iPad Pro ยังสนับสนุนระบบยืนยันตัวตนด้วย Face ID ขณะที่ MacBook Air ใช้วิธี Touch ID ถึงแม้ทั้ง 2 วิธี จะเป็นระบบรักษาความปลอดภัยทางไบโอเมตริกซ์ที่ทำงานได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และ ปลอดภัยด้วยกันทั้งคู่ แต่วิธีการยืนยันตัวตนด้วย Face ID นั้น ผู้ใช้งานแทบไม่ต้องดำเนินการใดๆ เพียงแค่มองไปที่กล้องหน้าเท่านั้น

ในทางเทคนิคแล้ว iPad Pro M1 และ MacBook Air M2 ต่างก็มีลำโพง 4 ตัว แต่ลำโพงของ iPad ให้เสียงที่เต็มอิ่มกว่า ดังกว่า และให้เสียงเบสที่มากกว่า จึงบอกได้ว่า ระบบลำโพงของ iPad Pro ดีกว่า

ชัดเจนว่า MacBook Air M2 สามารถชนะ iPad Pro ในเรื่องของพอร์ตเชื่อมต่อ ด้วยพอร์ต Thunderbolt / USB 4 จำนวน 2 พอร์ต โดยที่มีพอร์ตชาร์จ MagSafe 3 แยกมาให้ ไม่ต้องใช้ร่วมกับพอร์ต USB-C เหมือนรุ่นก่อน อีกทั้งยังมีช่องต่อหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร

ขณะที่ iPad Pro มีพอร์ตเชื่อมต่อแค่เพียงช่องเดียวเท่านั้น จึงจำเป็นต้องซื้อ USB-C Hub หากต้องการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์หลายอย่างพร้อมกัน ถึงแม้จะมี Magic Keyboard ที่มีพอร์ต USB-C ในตัว แต่ก็รองรับแค่การส่งผ่านพลังงานเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม MacBook Air M2 รองรับการต่อจอภาพภายนอกได้เพียง 1 จอ ที่ความละเอียดสูงสุด 6K เช่นเดียวกับ iPad Pro ซึ่งได้รับฟีเจอร์ใหม่ Stage Manager เมื่ออัปเดทเป็น OS 16 ช่วยให้การทำงานหลายหน้าต่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

MacBook Air M2 ยังเหนือกว่าในด้านพลังงานของแบตเตอรี่ ตามสเปกแล้ว MacBook Air มีอายุการใช้งานสูงสุด 18 ชั่วโมง ถึงแม้จากการทดสอบในชีวิตจริงของ 9to5Mac จะให้อายุได้ไม่นานขนาดนั้น แต่จากการใช้งานอย่างหนักกับแอปอย่าง Google Chrome และ Microsoft Suite มาตลอดทั้งวัน ก็พบว่าแบตเตอรี่ยังเหลือประมาณ 50%

ตามสเปกของ iPad Pro M1 มีอายุการใช้งานสูงสุด 10 ชั่วโมง แต่ในชีวิตจริงที่ต้องทำงานร่วมกับ Magic Keyboard จะพบว่าอายุการใช้งานอยู่ได้ราว 5 – 6 ชั่วโมง

นอกจาก MacBook Air จะมีอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ที่ยาวนานกว่าอย่างชัดเจน เทคโนโลยีการชาร์จก็ยังดีกว่าอีกด้วย โดยรองรับชาร์จเร็ว 67W ผ่าน MagSafe ขณะที่ iPad Pro รองรับชาร์จเร็วสูงสุด 33W

ถึงแม้ iPad Pro จะเป็นอุปกรณ์ที่มีขนาดเล็กกว่า แต่ถ้าหากต้องทำงานโดยพกพา Magic Keyboard ไปด้วย จะพบว่ามีน้ำหนักและหนากว่า แต่หลังจากที่เป็นเจ้าของ iPad มาตั้งแต่ปี 2018 ทีมงาน 9to5Mac มองว่า iPad Pro เป็นอุปกรณ์ที่ต้องมีอยู่ในตลาด ด้วยความสวยงาม ดีไซน์บางเบา และมีประสิทธิภาพสูง ถึงแม้ MacBook Air M2 จะได้รับการออกแบบใหม่ แต่ iPad Pro ที่จับคู่กับ Magic Keyboard ก็ยังทำให้ภาพลักษณ์นั้นดูดีและเป็นเอกลักษณ์กว่า

ในความคิดของทีมงาน 9to5Mac ชื่นชอบ iPad Pro มากกว่าด้วยการพกพาที่สะดวก และมีแอปนับล้านให้เลือกบน App Store สามารถตอบสนองทั้งความบันเทิง การทำงาน และเล่นเกมในเครื่องเดียว สำหรับ MacBook Air M2 เหมาะสำหรับคนส่วนใหญ่ที่ต้องการเพียงแค่แล็ปท็อปที่คุ้นเคย ใช้งานได้ทุกวัน และมีอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนาน

สรุปแล้ว การเลือกซื้อระหว่าง MacBook Air M2 กับ iPad Pro M1 ยังคงขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัว และราคา แต่ถ้าเป็นไปได้ การมีทั้งคู่ช่วยทำงานจะช่วยเติมเต็มซึ่งกันและกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ผ่านฟีเจอร์ Side Car, Universal Control และระบบนิเวศของ Apple

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ iPad Pro อาจจะมีความน่าสนใจกว่า แตถ้ามองในระยะยาวในอีก 5 ปีข้างหน้า MacBook Air M2 จะยังคงเป็นแล็ปท็อปที่มีประสิทธิภาพและทำงานได้ดี

Leave a Comment